วันจันทร์ที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2553
เมื่อ ๑๔ ต.ค.๕๓ เวลา ๑๔๐๐ น. พ.อ.อำนาจ รัตนภานพ รอง เสธ.(๑)
เป็นประธานพิธีมอบป้ายรับรองมาตรฐานอาหารสะอาดรสชาติอร่อยให้กับ
เจ้าของผู้ประกอบการร้านจำหน่ายอาหาร,แผงลอย.โรงอาหาร และก๋วยเตี๋ยวอนามัย
ในพื้นที่ รร.จปร. โดย มี พ.ท.พรชัย มาลัยพวง หน.ผวป.รพ.รร.จปร.
จ.ส.อ.อนุศักดิ์ ทองสุวรรณ และ จ.ส.ต.โกมิน ลาวชัย เป็นฝ่ายอำนวยการ
ดังนี้
ร้านอาหาร ๕ ร้าน
แผงลอย ๒๑ แผง
โรงอาหาร/โรงครัว ๔ แห่ง
แผงลอยก๋วยเตี๋ยวอนามัย ๒ แผง
คำแนะนำ เรื่องการป้องกันโรคตาแดง
บทความประชาสัมพันธ์
โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
โทร ๐๓๗ - ๓๙๓๐๑๐ – ๔ ต่อ ๖๒๒๓๕ โทรสาร ๐๓๗ - ๓๙๓๐๐๓
เรื่อง โรคตาแดงและการป้องกัน
สาเหตุ : เกิดจากเชื้อไวรัส
การติดต่อ : โรคตาแดงเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย จากคนสู่คน โดยการสัมผัสเชื้อที่ออกมากับน้ำตา หรือขี้ตา แล้วแพร่ไปสู่ผู้อื่น ทั้งโดยตรง และโดยอ้อม เช่น การใช้ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า หรือเครื่องใช้ร่วมกัน โรคนี้อาจระบาดได้ง่ายในทหารที่พักอยู่รวมกัน หากมีคนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ เชื้อโรคอาจติดมากับมือที่ใช้จับต้องของใช้ร่วมกับผู้ป่วยแล้วนำมาสัมผัสตา ทำให้เกิดอาการติดเชื้อได้ อาจแพร่โดยแมลงวี่ที่ชอบตอมตา หรืออาจเกี่ยวกับการอาบน้ำในแหล่งน้ำที่มีผู้ใช้น้ำร่วมกันมากๆ
การป้องกันและควบคุม
๑. ควรล้างมือบ่อยๆ เพราะมือไปจับสิ่งของต่างๆ อาจมีเชื้อไวรัสติดมา
๒.อย่าเอามือป้ายตาตนเอง หรือไปป้ายตาคนอื่น เพราะอาจจะเป็นการแพร่กระจายเชื้อโรค
๓.ไม่ควรใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดมือใน
ห้องน้ำ ปลอกหมอน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
๔.หากมีการระบาดในหน่วยทหาร ให้ระมัดระวังการติดเชื้อบริเวณห้องส้วม ห้องน้ำ และโรงเลี้ยง เมื่อพบผู้ป่วยโรคนี้ต้องแยกผู้ป่วยทันที และให้ส่งสถานพยาบาลใกล้เคียงให้ผู้ป่วยหยุดอยู่กับบ้าน
๕.แนะนำให้นักเรียนนายร้อยหรือทหารหรือผู้ป่วยทราบถึงอาการโรคนี้ เมื่อปรากฏอาการที่น่าสงสัย ให้รีบปรึกษา เจ้าหน้าที่แพทย์ทันที
๖.ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำสกปรก หากบังเอิญน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา
ต้องรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
๗. ถ้ามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้เกิน 5% ให้แจ้ง รพ.รร.จปร. โดยด่วน
…………………………………………….
ด้วยความปรารถนาดี จากแผนกเวชกรรมป้องกัน รพ.รร.จปร.
โรงพยาบาลโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
โทร ๐๓๗ - ๓๙๓๐๑๐ – ๔ ต่อ ๖๒๒๓๕ โทรสาร ๐๓๗ - ๓๙๓๐๐๓
เรื่อง โรคตาแดงและการป้องกัน
สาเหตุ : เกิดจากเชื้อไวรัส
การติดต่อ : โรคตาแดงเป็นโรคที่ติดต่อกันได้ง่าย จากคนสู่คน โดยการสัมผัสเชื้อที่ออกมากับน้ำตา หรือขี้ตา แล้วแพร่ไปสู่ผู้อื่น ทั้งโดยตรง และโดยอ้อม เช่น การใช้ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดหน้า หรือเครื่องใช้ร่วมกัน โรคนี้อาจระบาดได้ง่ายในทหารที่พักอยู่รวมกัน หากมีคนใดคนหนึ่งเป็นโรคนี้ เชื้อโรคอาจติดมากับมือที่ใช้จับต้องของใช้ร่วมกับผู้ป่วยแล้วนำมาสัมผัสตา ทำให้เกิดอาการติดเชื้อได้ อาจแพร่โดยแมลงวี่ที่ชอบตอมตา หรืออาจเกี่ยวกับการอาบน้ำในแหล่งน้ำที่มีผู้ใช้น้ำร่วมกันมากๆ
การป้องกันและควบคุม
๑. ควรล้างมือบ่อยๆ เพราะมือไปจับสิ่งของต่างๆ อาจมีเชื้อไวรัสติดมา
๒.อย่าเอามือป้ายตาตนเอง หรือไปป้ายตาคนอื่น เพราะอาจจะเป็นการแพร่กระจายเชื้อโรค
๓.ไม่ควรใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น โดยเฉพาะผ้าเช็ดหน้า ผ้าเช็ดตัว ผ้าเช็ดมือใน
ห้องน้ำ ปลอกหมอน เพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรค
๔.หากมีการระบาดในหน่วยทหาร ให้ระมัดระวังการติดเชื้อบริเวณห้องส้วม ห้องน้ำ และโรงเลี้ยง เมื่อพบผู้ป่วยโรคนี้ต้องแยกผู้ป่วยทันที และให้ส่งสถานพยาบาลใกล้เคียงให้ผู้ป่วยหยุดอยู่กับบ้าน
๕.แนะนำให้นักเรียนนายร้อยหรือทหารหรือผู้ป่วยทราบถึงอาการโรคนี้ เมื่อปรากฏอาการที่น่าสงสัย ให้รีบปรึกษา เจ้าหน้าที่แพทย์ทันที
๖.ควรหลีกเลี่ยงการสัมผัสกับน้ำสกปรก หากบังเอิญน้ำสกปรกกระเด็นเข้าตา
ต้องรีบล้างตาด้วยน้ำสะอาดทันที
๗. ถ้ามีผู้ป่วยด้วยโรคนี้เกิน 5% ให้แจ้ง รพ.รร.จปร. โดยด่วน
…………………………………………….
ด้วยความปรารถนาดี จากแผนกเวชกรรมป้องกัน รพ.รร.จปร.
สอบสวนโรคตาแดง
วันพฤหัสบดีที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2553
การกำจัดหนูในบ้านพัก,สำนักงาน
แนวทางการควบคุมและกำจัดหนูในพื้นที่บ้านพัก พบ.
หนูที่อาจพบเห็นได้ตามบ้านเรือนทั่วไปมี 4 ชนิด ได้แก่ หนูท่อ , หนูท้องขาว, หนูจี๊ด, หนูหริ่งบ้าน หนูบ้านฉลาดเรียนรู้เร็วเป็นสังคมครอบครัว มี พ่อ แม่ ลูก ลูกตัวที่โตเต็มวัย ถึงจะแยกครอบครัวออกไปหากินตามลำพังและสร้างครอบครัวใหม่ วันหนึ่ง ๆ จะมีช่วงของการท่องเที่ยวแสวงหาอาหารประมาณ 6 ชั่วโมง ในเวลากลางคืนหรือช่วงที่สงบเงียบ เวลาที่เหลือจะใช้ไปในการหลบซ่อนตัวอยู่ในรัง รัศมีในการหากินไม่เกิน 50 เมตร และมีเขตอิทธิพลเป็นของตนเองโดยเฉพาะ หนูบ้านของไทยอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 1 ปี
สถิติความสามารถของหนูบ้านไทย
1. การปีนป่ายทางดิ่ง สามารถไต่ลวดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 มม.ได้อย่างสบาย ดังนั้นจึงไม่เป็นการยากลำบากในการไต่เสาไฟฟ้า ท่อน้ำ ต้นไม้
2. การกระโดดจากท่าปกติ สามารถพุ่งตัวขึ้นด้วยกำลังขาได้สูงถึง 1 – 2 ฟุต แต่ท่ามีทางวิ่งให้เล็กน้อย สามารถกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางซึ่งสูง 1-3 ฟุต ได้
3. กระโดดในแนวราบได้ไกลเกินกว่า 0.5-3 เมตร จึงสามารถข้ามคูน้ำหรือช่องว่างระหว่างอาคาร หรือกระโดดจากกิ่งไม้เข้าตัวอาคารได้
4. ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำได้นาน 3 วัน ดังนั้นจึงสามารถว่ายน้ำได้ไกลเกินกว่า 50 เมตร (R.rattus)
5. ดำน้ำได้นานมีความอึดนานกว่า 1 นาที (R.norvegicus)
6. สามารถขุดเป็นรู หรือโพรงลงไปในดินได้ลึกถึง 50 ซม. ( R. R.norvegicus)
7. ตกจากที่สูงไม่เกิน 50 เมตร จะไม่มีอันตรายหรือได้รับบาดเจ็บ
8. กินอาหารได้ 10 % ของน้ำหนักตัว และต้องการน้ำเท่ากับ 54 % ของน้ำหนักตัว
9. ฟันคู่หน้าแหลมคมและแข็งแรง ใช้ในการกัดแทะ ขุดเจาะ
10. หนู 1คู่ สามารถออกลูกหลานแพร่พันธุ์ได้ 100-1200 ตัว ภายใน 1 ปี
การสังเกตหนูแต่ละชนิด
1. หนูท่อ หรือหนูนอร์เวย์ ( Rattus norvegicus ) ชื่ออื่น ๆ ที่เรียกกันตามท้องถิ่นได้แก่ หนูกองขยะ เพราะพบเห็นตามกองขยะเสมอ บ้างทีก็เรียกหนูขี้เรื้อน เพราะลักษณะของขนที่มีน้อย และหลุดเป็นหย่อม ๆ คล้ายกับลักษณะของสุนัขขี้เรื้อน หนูท่อตัวโตเป็นหนูในตระกูล Rattus ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด น้ำหนักตัวประมาณ 300 - 350 กรัม วัดจากโคนหางถึงปลายจมูก ประมาณ 19 - 25 ซม. ส่วนหางยาวประมาณ 16-20 ซม. ตาเล็ก ใบหูเล็ก จมูกเป็นสันทู่ เหมาะสำหรับหารขุดรู หางมี 2 สี ด้านบนสีจะเข้มกว่าด้านล่าง มีเกล็ดหยาบ ๆ ที่โคนหางเห็นได้ชัดเจน ตัวเมียมีเต้านมเรียงกันอยู่ที่ส่วนอก 3 คู่ และส่วนท้อง 3 คู่ หนูท่อตัวเมียออกลูกครั้งละ 8 - 12 ตัว ระยะหากินอยู่ในรัศมีไม่เกิน 50 เมตร ลักษณะมูลหนูคล้ายแคปซูล ด้านหัว และท้ายกลมมนมีขนาดโดยประมาณ 2 ซม. หนูท่อชอบขุดรูอยู่ตามพื้นดิน ดังนั้นแหล่งอาหารจึงอยู่บนที่ราบ เช่น ข้างกองขยะ ท่อระบายน้ำ บริเวณหลุมส้วม ใต้ถุนตึกหรืออาคาร บริเวณริมตลิ่งหรือทางน้ำไหล ตามแผงวางสินค้าในตลาด อาหารที่หนูท่อชอบมาก ได้แก่ อาหารสด เช่นไข่ ผักสด เนื้อสัตว์ ปลาและเศษอาหารที่เน่าเสีย หนูท่อไม่ชอบไต่ขึ้นที่สูงเพราะตัวโตและการยึดเกาะของเท้าไม่ดี
2. หนูท้องขาว มีชื่อทางวิชาการ 3 ชนิด คือ Rattus rattus rattus หรือ Black rat ชนิดที่สองเรียก Rattus rattus frugivorus หรือ Tree rat พวกนี้ชอบทำรังคล้ายรังนกบนต้นไม้ หรือตามพุุ่่มไม้ ชนิดที่สามเรียกว่า Rattus rattus alexandrianus ชอบอาศัยอยู่ตามเพดานของอาคารบ้านเรือน ตามช่องลม บริเวณกันสาดใต้หลังคา ถ้าบริเวณรอบบ้านมีต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ใกล้เคียง อาจพบหนูท้องขาวและรังอยู่บนต้นไม้นั้นด้วย หนูท้องขาวมีขนเป็นสีน้ำตาลเกือบดำเป็นมัน แต่ขนส่วนใต้ท้องมีสีขาวปนเทา หรือสีครีม น้ำหนักตัวประมาณ 90-250 กรัม วัดจากโคนหางถึงปลายจมูกยาวประมาณ 17-20 ซม. ส่วนหางจากโคนหางถึงปลายหางยาว 20-25 ซม. โดยทั่วไปความยาวของหางจะยาวกว่าลำตัว ลักษณะนี้เห็นได้ชัด อาหารที่ชอบ คือ พวกเม็ดพืช ได้แก่ข้าวชนิดต่าง ๆ ถั่ว ข้าวโพด มันฝรั่ง อาหารที่ออกรสหวาน ระยะหากินไม่เกินรัศมี 50 เมตร ลักษณะมูลหนู จะโค้งเป็นรูปกระสวย หัวท้ายแหลมยาวประมาณ 1 ซม. หนูท้องขาวรูปร่างปราดเปรียว ปีนป่ายคล่องแคล่ว ตัวเมียออกลูกครั้งละ 6-8 ตัว ตัวเมียมีเต้านมที่หน้าอก 2 คู่ และอยู่ที่ส่วนท้อง 3 คู่ ลักษณะเด่นชัด คือ จมูกแหลมยาว หูใหญ่ หางยาวกว่าลำตัวมีเกล็ดเล็ก ๆ ละเอียดตลอดหาง
3. หนูจี๊ด ชื่อทางวิชาการเรียก Rattus exulans ชื่ออื่น ๆ ที่ใช้เรียกกันคือ Polynesian rat , Ship or Black rat ลักษณะสำคัญที่สังเกตได้คือเวลาออกหากินจะส่งเสียงร้องจี๊ด ๆ ๆ เป็นหนูขนาดเล็กตัวโตเต็มที่มีน้ำหนัก 40-50 กรัม วัดจากโคนหางถึงปลายจมูกยาวประมาณ 8-10 ซม. ส่วนหาง วัดจากโคนหางถึงปลายหางยาว 10-12 ซม. ตัวเมียมีเต้านมที่หน้าอก 2 คู่ ที่ส่วนท้อง 2 คู่ รูปร่างเพรียว จมูกแหลมตาโต หูใหญ่ ขนด้านหลังสีน้ำตาล ด้านท้องสีเทา หางยาวเรียบสีดำ ตัวเมียออกลูกครั้งละ 8-12 ตัว ระยะหากินอยู่ในรัศมีไม่เกิน 10 เมตรจากรัง ที่อยู่อาศัย ชอบที่สูงตามซอกมุมที่ลับตาของอาคาร ตามเพดาน รังหนูจี๊ดตรวจพบเสมอบริเวณหลังคาของฟาร์มเลี้ยงเป็ดและไก่ เส้นทางเดินหากินของหนูจี๊ดมักตรวจพบรูค่อนข้างกลมขนาด 2 ซม. เป็นช่องทางใช้ผ่านเข้าออก ถ้ารูหรือช่องนี้ถูกปิด หนูจี๊ดจะพยายามเจาะที่เดิมอีก แสดงว่าเป็นสัตว์ที่ไว้ใจกับสิ่งคุ้นเคย และจะหลีกเลี่ยงสิ่งของที่แปลกใหม่ อายุขัยเฉลี่ย 100 วัน กินอาหารได้ทุกชนิดชอบเมล็ดพืช ผลไม้ ถั่ว ขนมปัง และอาหารที่มีกลิ่นและรสหวาน
4. หนูหริ่งบ้าน (Asian house mouse ) ชื่อทางวิชาการคือ Mus musculus เป็นหนูบ้านที่มีขนาดเล็กที่สุด น้ำหนักตัวประมาณ 10-15 กรัม วัดจากโคนหางถึงปลายจมูกยาวประมาณ 9 ซม. วัดจากโคนหางถึงปลายหาง 6-9 ซม. ขนด้านหลังสีเทาปนน้ำตาล ลักษณะอ่อนนุ่มเป็นมัน ขนด้านท้องสีขาว หางด้านบนสีดำ ด้านล่างสีจางกว่า ตัวเมียมีเต้านมที่หน้าอก 3 คู่ ที่ท้อง 2 คู่ ตัวเมียออกลูกครั้งละ 5-6 ตัว จำนวนลูกเฉลี่ยต่อปีประมาณ 34 ตัว ชอบอาศัยอยู่ตามลิ้นชัก ซอกตู้ ที่เก็บของ ช่องรอยแตกของฝาหรือกำแพง ชั้นเก็บวัสดุอาหาร ตามกล่องที่ตั้งไว้ในที่ลับตา รัศมีออกหากินไม่เกิน 10 เมตรจากรัง ตัวผู้จะหากินไกลกว่าตัวเมีย ลักษณะของมูลเป็นแท่งสั้น ๆ ปลายแหลมยาวประมาณครึ่งเซนติเมตร ชอบสะสมอาหาร และอยู่เป็นครอบครัว ๆ มีตัวเมียหลายตัวต่อตัวผู้ 1 ตัว กินอาหารได้ทุกชนิด อาหารที่ชอบ เมล็ดพืชประเภทข้าว
โรคที่เกิดจากหนู
หนูเป็นรังของโรค ( Reservoir of infectious agent ) หลายชนิด ซึ่งอาจแพร่มาสู่คน ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย โรคสำคัญที่เกิดจากหนู และควรมีมาตรการเฝ้าระวังอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มดังนี้
1. กลุ่มโรคที่เกิดจากตัวหนูโดยตรง ได้แก่ โรคฉี่หนู หรือเล็ปโตสไปโรซิส , โรคไข้หนูกัด โรคไข้สมองอักเสบ ( Angiostrongyliasis ) โรคพยาธิตาบวม (Trichinosis ) โรคไข้สมองอักเสบไวรัส LCM
2. กลุ่มโรคที่เกิดจากหมัดหนู ได้แก่ กาฬโรค ไข้รากสาดใหญ่ (Murine Typhus fever , Flea borne )
3. กลุ่มโรคที่เกิดจากไรหนู ได้แก่ ไข้รากสาดใหญ่ ( Scrop typhus, Mite borne )
4. กลุ่มโรคที่เกิดจากเหาหนู ได้แก่ ไข้กลับซ้ำ ( Relapsing Fever , Louse borne )ไข้รากสาดใหญ่ ( Classical Typhus fever )
5. กลุ่มโรคที่เกิดจากเห็บหนู ได้แก่ ไข้กลับซ้ำ ( Relapsing Fever , Tick borne )
มาตรการในการป้องกันและกำจัดหนู นขต.บก.พบ.และในพื้นที่บ้านพัก พบ.
วิธีดำเนินการ
การควบคุมหนูบ้านให้ได้ผลดี และทำให้พื้นที่นั้น ๆ ปลอดหนูอย่างถาวรนั้นเป็นเรื่องกระทำได้ยาก ขึ้นอยู่กับวินัยทางสุขาภิบาลของบุคคล และชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญ มาตรการที่จะนำมาใช้ในการป้องกันหรือกำจัด ต้องร่วมมือกันปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และพร้อมเพรียงกัน
1. การปรับปรุงที่ทำงานและบ้านอาศัยตามหลักการสุขาภิบาล
2.1 ป้องกันมิให้หนูเข้าสู่ที่ทำงาน และที่พักอาศัย เช่น ปิดหรืออุดช่องทางเข้าออกของหนู ด้วยวัสดุที่หนูไม่สามารถกัดแทะได้ สร้างสิ่งกีดขวางทางเดิน ทางวิ่งของหนู
2.2 เก็บรวบรวมขยะมูลฝอยใส่ภาชนะปิดให้มิดชิด เพื่อเป็นการกำจัดแหล่งอาหารของหนู ก่อนนอนควรนำขยะทั้งหมดในครัวเรือนนำมาทิ้งในที่ทิ้งถังขยะรวมที่จัดทำไว้ให้
2.3 ดูแลรางระบายน้ำโสโครก ท่อน้ำทิ้งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้เป็นช่องทางเดิน , ทำรังพักอาศัย หรือเป็นแหล่งอาหาร
1.4 จัดอาคารสำนักงาน / บ้านเรือน ทั้งภายในและบริเวณรอบ ๆ ให้สะอาดไม่รกรุงรัง ไม่ให้มีมุมอับอันเป็นที่หลบซ่อน หรือเป็นที่พักอาศัยได้
1.5 จัดเก็บอาหาร หรือเสบียง อาหารแห้งต่าง ๆ ในภาชนะที่มิดชิดและป้องกันการกัดแทะของหนูได้
1.6 การนำอาหารมารับประทานในอาคารสำนักงาน จะต้องนำถุงพลาสติกใส่อาหาร และเศษอาหารที่รับประทานเหลือ ไปทิ้งที่ถังขยะภายนอกอาคารที่จัดไว้ให้ทุกวันหลังเลิกงาน
3. การกำจัดหนูโดยใช้สารพิษ
3.1 สารพิษที่ออกฤทธิ์เร็ว ใช้ผสมกับเหยื่อโดยอัตราส่วนของความเข้มข้น 0.1 – 10 % เช่น ซิงค์ฟอสไฟด์ , เรดสควิล , สตริคนิน , ฟอสฟอรัสเหลือง เป็นต้น ใช้ผสมกับเหยื่อประเภท เนื้อบด ปลาป่น ข้าวโพดป่น ปลายข้าว เนื้อมะพร้าว ( สารพิษ 1 หน่วย ต่อเหยื่อ 99 หน่วย) เพื่อให้เยื่อพิษมีกลิ่นและรสจูงใจหนู ควรผสมน้ำเชื่อมหรือน้ำมันพืชเล็กน้อย ระหว่างคลุกเคล้า หนูจะตายภายใน 1 – 2 ชั่วโมง
3.2 สารพิษที่ออกฤทธิ์ช้า เป็นสารพิษที่ออกฤทธิ์ยับยังการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant ) ใช้ผสมกับเหยื่อเช่นเดียวกัน ตัวอย่างของสารพิษชนิดนี้ ได้แก่ ราคูมิน , พินโดน , ฟูมาริน แต่ในปัจจุบันมีการผลิตเหยื่อพิษสำเร็จรูปจำหน่าย ทำให้สะดวกในการใช้งาน และได้ผลดี เช่นเหยื่อสำเร็จรูป โบรมาดิโอโลน หรือ KED หนูจะเข้ามากินเหยื่อหลายครั้งโดยไม่ระแวงสงสัย เมื่อได้รับสารพิษเข้าไปในระดับที่เป็นพิษ จะทำให้หนูตกเลือดทั้งภายนอกภายใน และตายภายใน 1 – 3 วัน
4. การกำจัดหนูโดยใช้กรงดัก การใช้กรงดักหนูเป็นวิธีการดำเนินการต่อจากการใช้วิธีสารพิษซึ่งได้ดำเนินการกำจัดครั้งใหญ่ไปแล้ว จึงใช้กรงดักหนูเป็นวิธีกำจัดต่อไป
หนูที่อาจพบเห็นได้ตามบ้านเรือนทั่วไปมี 4 ชนิด ได้แก่ หนูท่อ , หนูท้องขาว, หนูจี๊ด, หนูหริ่งบ้าน หนูบ้านฉลาดเรียนรู้เร็วเป็นสังคมครอบครัว มี พ่อ แม่ ลูก ลูกตัวที่โตเต็มวัย ถึงจะแยกครอบครัวออกไปหากินตามลำพังและสร้างครอบครัวใหม่ วันหนึ่ง ๆ จะมีช่วงของการท่องเที่ยวแสวงหาอาหารประมาณ 6 ชั่วโมง ในเวลากลางคืนหรือช่วงที่สงบเงียบ เวลาที่เหลือจะใช้ไปในการหลบซ่อนตัวอยู่ในรัง รัศมีในการหากินไม่เกิน 50 เมตร และมีเขตอิทธิพลเป็นของตนเองโดยเฉพาะ หนูบ้านของไทยอายุขัยเฉลี่ยประมาณ 1 ปี
สถิติความสามารถของหนูบ้านไทย
1. การปีนป่ายทางดิ่ง สามารถไต่ลวดขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 3 มม.ได้อย่างสบาย ดังนั้นจึงไม่เป็นการยากลำบากในการไต่เสาไฟฟ้า ท่อน้ำ ต้นไม้
2. การกระโดดจากท่าปกติ สามารถพุ่งตัวขึ้นด้วยกำลังขาได้สูงถึง 1 – 2 ฟุต แต่ท่ามีทางวิ่งให้เล็กน้อย สามารถกระโดดข้ามสิ่งกีดขวางซึ่งสูง 1-3 ฟุต ได้
3. กระโดดในแนวราบได้ไกลเกินกว่า 0.5-3 เมตร จึงสามารถข้ามคูน้ำหรือช่องว่างระหว่างอาคาร หรือกระโดดจากกิ่งไม้เข้าตัวอาคารได้
4. ลอยตัวอยู่บนผิวน้ำได้นาน 3 วัน ดังนั้นจึงสามารถว่ายน้ำได้ไกลเกินกว่า 50 เมตร (R.rattus)
5. ดำน้ำได้นานมีความอึดนานกว่า 1 นาที (R.norvegicus)
6. สามารถขุดเป็นรู หรือโพรงลงไปในดินได้ลึกถึง 50 ซม. ( R. R.norvegicus)
7. ตกจากที่สูงไม่เกิน 50 เมตร จะไม่มีอันตรายหรือได้รับบาดเจ็บ
8. กินอาหารได้ 10 % ของน้ำหนักตัว และต้องการน้ำเท่ากับ 54 % ของน้ำหนักตัว
9. ฟันคู่หน้าแหลมคมและแข็งแรง ใช้ในการกัดแทะ ขุดเจาะ
10. หนู 1คู่ สามารถออกลูกหลานแพร่พันธุ์ได้ 100-1200 ตัว ภายใน 1 ปี
การสังเกตหนูแต่ละชนิด
1. หนูท่อ หรือหนูนอร์เวย์ ( Rattus norvegicus ) ชื่ออื่น ๆ ที่เรียกกันตามท้องถิ่นได้แก่ หนูกองขยะ เพราะพบเห็นตามกองขยะเสมอ บ้างทีก็เรียกหนูขี้เรื้อน เพราะลักษณะของขนที่มีน้อย และหลุดเป็นหย่อม ๆ คล้ายกับลักษณะของสุนัขขี้เรื้อน หนูท่อตัวโตเป็นหนูในตระกูล Rattus ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด น้ำหนักตัวประมาณ 300 - 350 กรัม วัดจากโคนหางถึงปลายจมูก ประมาณ 19 - 25 ซม. ส่วนหางยาวประมาณ 16-20 ซม. ตาเล็ก ใบหูเล็ก จมูกเป็นสันทู่ เหมาะสำหรับหารขุดรู หางมี 2 สี ด้านบนสีจะเข้มกว่าด้านล่าง มีเกล็ดหยาบ ๆ ที่โคนหางเห็นได้ชัดเจน ตัวเมียมีเต้านมเรียงกันอยู่ที่ส่วนอก 3 คู่ และส่วนท้อง 3 คู่ หนูท่อตัวเมียออกลูกครั้งละ 8 - 12 ตัว ระยะหากินอยู่ในรัศมีไม่เกิน 50 เมตร ลักษณะมูลหนูคล้ายแคปซูล ด้านหัว และท้ายกลมมนมีขนาดโดยประมาณ 2 ซม. หนูท่อชอบขุดรูอยู่ตามพื้นดิน ดังนั้นแหล่งอาหารจึงอยู่บนที่ราบ เช่น ข้างกองขยะ ท่อระบายน้ำ บริเวณหลุมส้วม ใต้ถุนตึกหรืออาคาร บริเวณริมตลิ่งหรือทางน้ำไหล ตามแผงวางสินค้าในตลาด อาหารที่หนูท่อชอบมาก ได้แก่ อาหารสด เช่นไข่ ผักสด เนื้อสัตว์ ปลาและเศษอาหารที่เน่าเสีย หนูท่อไม่ชอบไต่ขึ้นที่สูงเพราะตัวโตและการยึดเกาะของเท้าไม่ดี
2. หนูท้องขาว มีชื่อทางวิชาการ 3 ชนิด คือ Rattus rattus rattus หรือ Black rat ชนิดที่สองเรียก Rattus rattus frugivorus หรือ Tree rat พวกนี้ชอบทำรังคล้ายรังนกบนต้นไม้ หรือตามพุุ่่มไม้ ชนิดที่สามเรียกว่า Rattus rattus alexandrianus ชอบอาศัยอยู่ตามเพดานของอาคารบ้านเรือน ตามช่องลม บริเวณกันสาดใต้หลังคา ถ้าบริเวณรอบบ้านมีต้นไม้แผ่กิ่งก้านสาขาอยู่ใกล้เคียง อาจพบหนูท้องขาวและรังอยู่บนต้นไม้นั้นด้วย หนูท้องขาวมีขนเป็นสีน้ำตาลเกือบดำเป็นมัน แต่ขนส่วนใต้ท้องมีสีขาวปนเทา หรือสีครีม น้ำหนักตัวประมาณ 90-250 กรัม วัดจากโคนหางถึงปลายจมูกยาวประมาณ 17-20 ซม. ส่วนหางจากโคนหางถึงปลายหางยาว 20-25 ซม. โดยทั่วไปความยาวของหางจะยาวกว่าลำตัว ลักษณะนี้เห็นได้ชัด อาหารที่ชอบ คือ พวกเม็ดพืช ได้แก่ข้าวชนิดต่าง ๆ ถั่ว ข้าวโพด มันฝรั่ง อาหารที่ออกรสหวาน ระยะหากินไม่เกินรัศมี 50 เมตร ลักษณะมูลหนู จะโค้งเป็นรูปกระสวย หัวท้ายแหลมยาวประมาณ 1 ซม. หนูท้องขาวรูปร่างปราดเปรียว ปีนป่ายคล่องแคล่ว ตัวเมียออกลูกครั้งละ 6-8 ตัว ตัวเมียมีเต้านมที่หน้าอก 2 คู่ และอยู่ที่ส่วนท้อง 3 คู่ ลักษณะเด่นชัด คือ จมูกแหลมยาว หูใหญ่ หางยาวกว่าลำตัวมีเกล็ดเล็ก ๆ ละเอียดตลอดหาง
3. หนูจี๊ด ชื่อทางวิชาการเรียก Rattus exulans ชื่ออื่น ๆ ที่ใช้เรียกกันคือ Polynesian rat , Ship or Black rat ลักษณะสำคัญที่สังเกตได้คือเวลาออกหากินจะส่งเสียงร้องจี๊ด ๆ ๆ เป็นหนูขนาดเล็กตัวโตเต็มที่มีน้ำหนัก 40-50 กรัม วัดจากโคนหางถึงปลายจมูกยาวประมาณ 8-10 ซม. ส่วนหาง วัดจากโคนหางถึงปลายหางยาว 10-12 ซม. ตัวเมียมีเต้านมที่หน้าอก 2 คู่ ที่ส่วนท้อง 2 คู่ รูปร่างเพรียว จมูกแหลมตาโต หูใหญ่ ขนด้านหลังสีน้ำตาล ด้านท้องสีเทา หางยาวเรียบสีดำ ตัวเมียออกลูกครั้งละ 8-12 ตัว ระยะหากินอยู่ในรัศมีไม่เกิน 10 เมตรจากรัง ที่อยู่อาศัย ชอบที่สูงตามซอกมุมที่ลับตาของอาคาร ตามเพดาน รังหนูจี๊ดตรวจพบเสมอบริเวณหลังคาของฟาร์มเลี้ยงเป็ดและไก่ เส้นทางเดินหากินของหนูจี๊ดมักตรวจพบรูค่อนข้างกลมขนาด 2 ซม. เป็นช่องทางใช้ผ่านเข้าออก ถ้ารูหรือช่องนี้ถูกปิด หนูจี๊ดจะพยายามเจาะที่เดิมอีก แสดงว่าเป็นสัตว์ที่ไว้ใจกับสิ่งคุ้นเคย และจะหลีกเลี่ยงสิ่งของที่แปลกใหม่ อายุขัยเฉลี่ย 100 วัน กินอาหารได้ทุกชนิดชอบเมล็ดพืช ผลไม้ ถั่ว ขนมปัง และอาหารที่มีกลิ่นและรสหวาน
4. หนูหริ่งบ้าน (Asian house mouse ) ชื่อทางวิชาการคือ Mus musculus เป็นหนูบ้านที่มีขนาดเล็กที่สุด น้ำหนักตัวประมาณ 10-15 กรัม วัดจากโคนหางถึงปลายจมูกยาวประมาณ 9 ซม. วัดจากโคนหางถึงปลายหาง 6-9 ซม. ขนด้านหลังสีเทาปนน้ำตาล ลักษณะอ่อนนุ่มเป็นมัน ขนด้านท้องสีขาว หางด้านบนสีดำ ด้านล่างสีจางกว่า ตัวเมียมีเต้านมที่หน้าอก 3 คู่ ที่ท้อง 2 คู่ ตัวเมียออกลูกครั้งละ 5-6 ตัว จำนวนลูกเฉลี่ยต่อปีประมาณ 34 ตัว ชอบอาศัยอยู่ตามลิ้นชัก ซอกตู้ ที่เก็บของ ช่องรอยแตกของฝาหรือกำแพง ชั้นเก็บวัสดุอาหาร ตามกล่องที่ตั้งไว้ในที่ลับตา รัศมีออกหากินไม่เกิน 10 เมตรจากรัง ตัวผู้จะหากินไกลกว่าตัวเมีย ลักษณะของมูลเป็นแท่งสั้น ๆ ปลายแหลมยาวประมาณครึ่งเซนติเมตร ชอบสะสมอาหาร และอยู่เป็นครอบครัว ๆ มีตัวเมียหลายตัวต่อตัวผู้ 1 ตัว กินอาหารได้ทุกชนิด อาหารที่ชอบ เมล็ดพืชประเภทข้าว
โรคที่เกิดจากหนู
หนูเป็นรังของโรค ( Reservoir of infectious agent ) หลายชนิด ซึ่งอาจแพร่มาสู่คน ทำให้เกิดอาการเจ็บป่วย โรคสำคัญที่เกิดจากหนู และควรมีมาตรการเฝ้าระวังอย่างมีประสิทธิภาพ สามารถแบ่งออกได้เป็นกลุ่มดังนี้
1. กลุ่มโรคที่เกิดจากตัวหนูโดยตรง ได้แก่ โรคฉี่หนู หรือเล็ปโตสไปโรซิส , โรคไข้หนูกัด โรคไข้สมองอักเสบ ( Angiostrongyliasis ) โรคพยาธิตาบวม (Trichinosis ) โรคไข้สมองอักเสบไวรัส LCM
2. กลุ่มโรคที่เกิดจากหมัดหนู ได้แก่ กาฬโรค ไข้รากสาดใหญ่ (Murine Typhus fever , Flea borne )
3. กลุ่มโรคที่เกิดจากไรหนู ได้แก่ ไข้รากสาดใหญ่ ( Scrop typhus, Mite borne )
4. กลุ่มโรคที่เกิดจากเหาหนู ได้แก่ ไข้กลับซ้ำ ( Relapsing Fever , Louse borne )ไข้รากสาดใหญ่ ( Classical Typhus fever )
5. กลุ่มโรคที่เกิดจากเห็บหนู ได้แก่ ไข้กลับซ้ำ ( Relapsing Fever , Tick borne )
มาตรการในการป้องกันและกำจัดหนู นขต.บก.พบ.และในพื้นที่บ้านพัก พบ.
วิธีดำเนินการ
การควบคุมหนูบ้านให้ได้ผลดี และทำให้พื้นที่นั้น ๆ ปลอดหนูอย่างถาวรนั้นเป็นเรื่องกระทำได้ยาก ขึ้นอยู่กับวินัยทางสุขาภิบาลของบุคคล และชุมชนเป็นปัจจัยสำคัญ มาตรการที่จะนำมาใช้ในการป้องกันหรือกำจัด ต้องร่วมมือกันปฏิบัติอย่างเคร่งครัด และพร้อมเพรียงกัน
1. การปรับปรุงที่ทำงานและบ้านอาศัยตามหลักการสุขาภิบาล
2.1 ป้องกันมิให้หนูเข้าสู่ที่ทำงาน และที่พักอาศัย เช่น ปิดหรืออุดช่องทางเข้าออกของหนู ด้วยวัสดุที่หนูไม่สามารถกัดแทะได้ สร้างสิ่งกีดขวางทางเดิน ทางวิ่งของหนู
2.2 เก็บรวบรวมขยะมูลฝอยใส่ภาชนะปิดให้มิดชิด เพื่อเป็นการกำจัดแหล่งอาหารของหนู ก่อนนอนควรนำขยะทั้งหมดในครัวเรือนนำมาทิ้งในที่ทิ้งถังขยะรวมที่จัดทำไว้ให้
2.3 ดูแลรางระบายน้ำโสโครก ท่อน้ำทิ้งอย่างสม่ำเสมอ ไม่ให้เป็นช่องทางเดิน , ทำรังพักอาศัย หรือเป็นแหล่งอาหาร
1.4 จัดอาคารสำนักงาน / บ้านเรือน ทั้งภายในและบริเวณรอบ ๆ ให้สะอาดไม่รกรุงรัง ไม่ให้มีมุมอับอันเป็นที่หลบซ่อน หรือเป็นที่พักอาศัยได้
1.5 จัดเก็บอาหาร หรือเสบียง อาหารแห้งต่าง ๆ ในภาชนะที่มิดชิดและป้องกันการกัดแทะของหนูได้
1.6 การนำอาหารมารับประทานในอาคารสำนักงาน จะต้องนำถุงพลาสติกใส่อาหาร และเศษอาหารที่รับประทานเหลือ ไปทิ้งที่ถังขยะภายนอกอาคารที่จัดไว้ให้ทุกวันหลังเลิกงาน
3. การกำจัดหนูโดยใช้สารพิษ
3.1 สารพิษที่ออกฤทธิ์เร็ว ใช้ผสมกับเหยื่อโดยอัตราส่วนของความเข้มข้น 0.1 – 10 % เช่น ซิงค์ฟอสไฟด์ , เรดสควิล , สตริคนิน , ฟอสฟอรัสเหลือง เป็นต้น ใช้ผสมกับเหยื่อประเภท เนื้อบด ปลาป่น ข้าวโพดป่น ปลายข้าว เนื้อมะพร้าว ( สารพิษ 1 หน่วย ต่อเหยื่อ 99 หน่วย) เพื่อให้เยื่อพิษมีกลิ่นและรสจูงใจหนู ควรผสมน้ำเชื่อมหรือน้ำมันพืชเล็กน้อย ระหว่างคลุกเคล้า หนูจะตายภายใน 1 – 2 ชั่วโมง
3.2 สารพิษที่ออกฤทธิ์ช้า เป็นสารพิษที่ออกฤทธิ์ยับยังการแข็งตัวของเลือด (Anticoagulant ) ใช้ผสมกับเหยื่อเช่นเดียวกัน ตัวอย่างของสารพิษชนิดนี้ ได้แก่ ราคูมิน , พินโดน , ฟูมาริน แต่ในปัจจุบันมีการผลิตเหยื่อพิษสำเร็จรูปจำหน่าย ทำให้สะดวกในการใช้งาน และได้ผลดี เช่นเหยื่อสำเร็จรูป โบรมาดิโอโลน หรือ KED หนูจะเข้ามากินเหยื่อหลายครั้งโดยไม่ระแวงสงสัย เมื่อได้รับสารพิษเข้าไปในระดับที่เป็นพิษ จะทำให้หนูตกเลือดทั้งภายนอกภายใน และตายภายใน 1 – 3 วัน
4. การกำจัดหนูโดยใช้กรงดัก การใช้กรงดักหนูเป็นวิธีการดำเนินการต่อจากการใช้วิธีสารพิษซึ่งได้ดำเนินการกำจัดครั้งใหญ่ไปแล้ว จึงใช้กรงดักหนูเป็นวิธีกำจัดต่อไป
วันพฤหัสบดีที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2553
อบรมมาตรฐานโรงอาหารในโรงเรียน
วันอังคารที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2553
พรบ.โรคติดต่อ พ.ศ.๒๕๒๓
พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523
พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 ได้ให้ความหมายของคำที่มีความเกี่ยวข้องด้านสาธาาณสุขไว้หลายคำด้วย กัน แต่ในที่นี้จะขอนำมากล่าวไว้เพียง 2 คำดังนี้ 1. เจ้าพนักงา่นสาธารณสุข หมายความว่า เจ้าพนักงานซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ ตรวจตรา ดูแล และรับผิดชอบในการ สาธารณสุขโดยทั่วไป หรือเฉพาะในท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง 2. พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรี แต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ได้ให้ความหมายของคำที่มีความเกี่ยวข้องด้านสาธารณสุขไว้หลายคำด้วยกัน แต่ในที่นี้จะขอนำมากล่าวไว้เพียง 2 คำดังนี้ (1) นายกเทศมนตรี สำหรับในเขตเทศบาล (2) ประธานกรรมการ สุขาภิบาลสำหรับในเขตสุขาภิบาล (3) ผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด (4) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร (5) ปลัดเมืองพัทยาสำหรับในเขตเมืองพัทยา (6) หัวหน้าผู้บริหารท้องถิ่นขององค์การปกครอง ท้องถิ่นอื่นที่กฎหมายกำหนดให้เป็นราชการส่วนท้องถิ่นสำหรับในเขต ราชการส่วนท้องถิ่นนั้น 2. เจ้าพนักงานสาธารณสุข หมายความว่า เจ้าพนักงานซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 1. ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานครเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร 2. หัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขเมืองพัทยา เป็นพนักงาน เจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตเมืองพัทยา 3. ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต จังหวัดนั้น ๆ 4. นายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตอำเภอนั้นๆ 5. นายกเทศมนตรี หัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขเทศบาล ประธานกรรมกรรมการสุขาธิบาลและหัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขสุขาภิบาล เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตเทศบาลหรือสุขาภิบาล นั้นๆแล้วแต่กรณี 6. กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต ตำบลหรือหมู่บ้านนั้นๆ แล้วแต่กรณี โรคติดต่ออันตราย ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 1. อหิวาตกโรค 2. กาฬโรค 3. ไข้ทรพิษ 4. ไข้เหลือง 5. โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง โรคติดต่อที่ต้องแจ้งความตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 1. อหิวาตกโรค (Cholera) 2. กาฬโรค (Plague) 3. ไข้ทรพิษ (Variola Smallpox) 4. ไข้เหลือง (Yellow fever) 5. ไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Meningitis) 6. คอตีบ (Diphtheria) 7. โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิด (Tetanus neonatorum) 8. โปลิโอ (Poliomyelitis) 9. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ซึ่งรวมถึไข้หวัดใหญ่ที่ติดต่อมาจากสัตว์ 10.ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis) 11.โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) 12.ไข้รากสาดใหญ่ (Typhus) 13.วัณโรค (Tuberculosis) 14.แอนแทร็กซ์ (Anthrax) 15.โรคทริคิโนซีส (Trichinosis) 16.โรคคุดทะราด (Yaws) เฉพาะในระยะติดต่อ 17.โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเฉียบพลันในเด็ก (Acute flaccid paralysis) 18.โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (หรือโรคซาร์ส Severs Acte Respiratory Syndome)
พระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 ได้ให้ความหมายของคำที่มีความเกี่ยวข้องด้านสาธาาณสุขไว้หลายคำด้วย กัน แต่ในที่นี้จะขอนำมากล่าวไว้เพียง 2 คำดังนี้ 1. เจ้าพนักงา่นสาธารณสุข หมายความว่า เจ้าพนักงานซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มีหน้าที่ ตรวจตรา ดูแล และรับผิดชอบในการ สาธารณสุขโดยทั่วไป หรือเฉพาะในท้องที่ใดท้องที่หนึ่ง 2. พนักงานเจ้าหน้าที่ หมายความว่า ผู้ซึ่งรัฐมนตรี แต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 พระราชบัญญัติการสาธารณสุข พ.ศ. 2535 ได้ให้ความหมายของคำที่มีความเกี่ยวข้องด้านสาธารณสุขไว้หลายคำด้วยกัน แต่ในที่นี้จะขอนำมากล่าวไว้เพียง 2 คำดังนี้ (1) นายกเทศมนตรี สำหรับในเขตเทศบาล (2) ประธานกรรมการ สุขาภิบาลสำหรับในเขตสุขาภิบาล (3) ผู้ว่าราชการจังหวัดสำหรับในเขตองค์การบริหารส่วนจังหวัด (4) ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานครสำหรับในเขตกรุงเทพมหานคร (5) ปลัดเมืองพัทยาสำหรับในเขตเมืองพัทยา (6) หัวหน้าผู้บริหารท้องถิ่นขององค์การปกครอง ท้องถิ่นอื่นที่กฎหมายกำหนดให้เป็นราชการส่วนท้องถิ่นสำหรับในเขต ราชการส่วนท้องถิ่นนั้น 2. เจ้าพนักงานสาธารณสุข หมายความว่า เจ้าพนักงานซึ่งได้รับแต่งตั้งให้ปฏิบัติการตามพระราชบัญญัตินี้ พนักงานเจ้าหน้าที่เพื่อปฏิบัติการตามพระราชบัญญัติโรคติดต่อ พ.ศ. 2523 ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 1. ผู้อำนวยการกองควบคุมโรคติดต่อ สำนักอนามัย กรุงเทพมหานครเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตกรุงเทพมหานคร 2. หัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขเมืองพัทยา เป็นพนักงาน เจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตเมืองพัทยา 3. ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต จังหวัดนั้น ๆ 4. นายอำเภอเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตอำเภอนั้นๆ 5. นายกเทศมนตรี หัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขเทศบาล ประธานกรรมกรรมการสุขาธิบาลและหัวหน้าฝ่ายสาธารณสุขสุขาภิบาล เป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขตเทศบาลหรือสุขาภิบาล นั้นๆแล้วแต่กรณี 6. กำนัน ผู้ใหญ่บ้านเป็นพนักงานเจ้าหน้าที่เฉพาะในเขต ตำบลหรือหมู่บ้านนั้นๆ แล้วแต่กรณี โรคติดต่ออันตราย ตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 1. อหิวาตกโรค 2. กาฬโรค 3. ไข้ทรพิษ 4. ไข้เหลือง 5. โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง โรคติดต่อที่ต้องแจ้งความตามประกาศกระทรวงสาธารณสุข 1. อหิวาตกโรค (Cholera) 2. กาฬโรค (Plague) 3. ไข้ทรพิษ (Variola Smallpox) 4. ไข้เหลือง (Yellow fever) 5. ไข้กาฬหลังแอ่น (Meningococcal Meningitis) 6. คอตีบ (Diphtheria) 7. โรคบาดทะยักในทารกแรกเกิด (Tetanus neonatorum) 8. โปลิโอ (Poliomyelitis) 9. ไข้หวัดใหญ่ (Influenza) ซึ่งรวมถึไข้หวัดใหญ่ที่ติดต่อมาจากสัตว์ 10.ไข้สมองอักเสบ (Encephalitis) 11.โรคพิษสุนัขบ้า (Rabies) 12.ไข้รากสาดใหญ่ (Typhus) 13.วัณโรค (Tuberculosis) 14.แอนแทร็กซ์ (Anthrax) 15.โรคทริคิโนซีส (Trichinosis) 16.โรคคุดทะราด (Yaws) เฉพาะในระยะติดต่อ 17.โรคอัมพาตกล้ามเนื้ออ่อนปวกเปียกอย่างเฉียบพลันในเด็ก (Acute flaccid paralysis) 18.โรคทางเดินหายใจเฉียบพลันรุนแรง (หรือโรคซาร์ส Severs Acte Respiratory Syndome)
วันจันทร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2553
ตรวจร้านอาหารตามมาตรฐาน Clean Food Good Taste
เมื่อ ๑๙ ส.ค.๕๓ พ..ท.พรชัย มาลัยพวง หน.ผวป.รพ.รร.จปร.,จ.ส.อ.อนุศักดิ์ ทองสุวรรณ และ จ.ส.ต.โกมิน ลาวชัย นายสิบเวชกรรมป้องกัน ร่วมกับ กลุ่มงานคุ้มครองผู้บริโภค สสจ.น.ย.ตรวจประเมิน
งานความปลอดภัยด้านอาหาร ท่ ตลาดสด รร.จปร. แผงลอยและร้านจำหน่ายอาหาร ตามมาตรฐาน Clane
Food Good Taste ผลการตรวจ คิดเป็น ร้อยละ ๑๐๐
๑. โรงอาหารผ่านเกณฑ์ ๔ แห่ง
๒. แผงลอย ๒๑ แห่ง
๓. ร้านอาหาร ๕ แห่ง
๔. ร้านอาหารสด ๓ แห่ง (ผ่านเกณฑ์ร้านอาหารปลอดภัย)
๕. ตลาดสด (ผ่านเกณฑ์ตลาดสดน่าซื้อ ระดับ ๓ ดาว)
งานความปลอดภัยด้านอาหาร ท่ ตลาดสด รร.จปร. แผงลอยและร้านจำหน่ายอาหาร ตามมาตรฐาน Clane
Food Good Taste ผลการตรวจ คิดเป็น ร้อยละ ๑๐๐
๑. โรงอาหารผ่านเกณฑ์ ๔ แห่ง
๒. แผงลอย ๒๑ แห่ง
๓. ร้านอาหาร ๕ แห่ง
๔. ร้านอาหารสด ๓ แห่ง (ผ่านเกณฑ์ร้านอาหารปลอดภัย)
๕. ตลาดสด (ผ่านเกณฑ์ตลาดสดน่าซื้อ ระดับ ๓ ดาว)
ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ ปี ๕๓
คำแนะนำ เรื่อง ข้อปฏิบัติสำหรับกิจกรรมการรวมตัวของคนหมู่มาก
คำแนะนำ เรื่อง ข้อปฏิบัติสำหรับกิจกรรมการรวมตัวของคนหมู่มาก
เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอ็ช 1 เอ็น 1)
กระทรวงสาธารณสุข
วันที่ 8 กรกฎาคม 2552
คำแนะนำสำหรับเจ้าหน้าที่ฉบับนี้ สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางในการกำหนดข้อปฏิบัติในการป้องกันการแพร่กระจายโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอ็ช 1 เอ็น 1) หากจะมีการรวมตัวกันของคนหมู่มากภายในพื้นที่ เช่น การแสดงมหรสพ การประชุมขนาดใหญ่ การแข่งขันกีฬา งานนิทรรศการ งานแต่งงาน งานรื่นเริง หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นสถานที่กลางแจ้งหรือในร่ม ควรมีการปฏิบัติเช่นเดียวกัน เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลความแตกต่างของการแพร่กระจายโรค กระทรวงสาธารณสุขจึงขอให้คำแนะนำ ดังนี้
คำแนะนำสำหรับผู้จัดงานหรือเจ้าภาพงาน
1. ผู้จัดงานหรือกิจกรรมการรวมตัวของคนหมู่มาก ควรให้ข้อมูลข่าวสารในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคแก่ผู้มาร่วมงานหรือกิจกรรม โดยใช้ช่องทางต่างๆ เช่น การส่งจดหมายแจ้งข่าว การประกาศในงาน การลงคำแนะนำในหนังสือพิมพ์ มุมนิทรรศการ
2. ผู้จัดงานควรอำนวยความสะดวกในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคแก่ผู้ร่วมงาน เช่น
· จัดอ่างล้างมือ พร้อมสบู่ กระดาษทิชชู ในห้องน้ำ ให้พอเพียง
· ทำป้ายคำแนะนำหรือหน่วยให้คำแนะนำผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่บริเวณ ทางเข้างาน
· จัดบริการทางเลือกสำหรับผู้ที่ประสงค์มาร่วมงานเพื่อลดความแออัด โดยการสื่อสาร ข้อมูลทางอื่นทดแทนการมาร่วมงาน เช่น ให้ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ จดหมาย
· จัดให้มีผู้ทำความสะอาดอุปกรณ์และบริเวณที่มีผู้สัมผัสปริมาณมาก เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู ห้องน้ำ ด้วยน้ำผงซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป อย่างสม่ำเสมอและบ่อยกว่าในภาวะปกติ
· จัดหาหน้ากากอนามัยสำหรับผู้มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ที่มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมกิจกรรม
คำแนะนำสำหรับผู้มาร่วมกิจกรรม
1. ผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หากอาการไม่มาก ควรหยุดพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 7 วันนับจากวันเริ่มป่วย หรือหลังจากหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน
และไม่ควรเข้าร่วมงานหรือกิจกรรมกับคนหมู่มาก แต่หากจำเป็นต้องเข้าร่วมงาน ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
2. กลุ่มเสี่ยงที่หากป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่จะมีอาการรุนแรง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ หญิงมีครรภ์ และผู้มีโรคอ้วน ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวควรหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่ที่มีการรวมตัวของคนหมู่มาก เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแพร่กระจายของโรคนี้ในวงกว้างแล้ว
3. ประชาชนทั่วไปที่ไปรวมตัวกัน ควรปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ หากมีอาการไอ จาม ให้ใช้กระดาษทิชชูหรือผ้าปิดปากปิดจมูก หากไม่มีหรือหยิบไม่ทัน ไม่ควรใช้มือป้องจมูกปาก (เพราะหากป่วย เชื้อจะติดอยู่ที่มือ แล้วไปเปรอะเปื้อนตามสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ) ให้ไอจามใส่แขนเสื้อแทน จะช่วยลดการฟุ้งกระจายของฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายหรือเสมหะได้ดี
4. จากความรู้เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่และสถานการณ์ในขณะนี้ การที่ประชาชนที่ไม่ป่วยสวมหน้ากากอนามัย จะมีประโยชน์น้อย แต่หากผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัย จะมีประโยชน์ในการลดการแพร่กระจายเชื้อและป้องกันการระบาดได้มาก
*************************************
เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
โรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ (เอ็ช 1 เอ็น 1)
กระทรวงสาธารณสุข
วันที่ 8 กรกฎาคม 2552
คำแนะนำสำหรับเจ้าหน้าที่ฉบับนี้ สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางในการกำหนดข้อปฏิบัติในการป้องกันการแพร่กระจายโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอ็ช 1 เอ็น 1) หากจะมีการรวมตัวกันของคนหมู่มากภายในพื้นที่ เช่น การแสดงมหรสพ การประชุมขนาดใหญ่ การแข่งขันกีฬา งานนิทรรศการ งานแต่งงาน งานรื่นเริง หรือกิจกรรมอื่นๆ ที่มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก ซึ่งมีความเสี่ยงที่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรค ไม่ว่าจะเป็นสถานที่กลางแจ้งหรือในร่ม ควรมีการปฏิบัติเช่นเดียวกัน เนื่องจากยังไม่มีข้อมูลความแตกต่างของการแพร่กระจายโรค กระทรวงสาธารณสุขจึงขอให้คำแนะนำ ดังนี้
คำแนะนำสำหรับผู้จัดงานหรือเจ้าภาพงาน
1. ผู้จัดงานหรือกิจกรรมการรวมตัวของคนหมู่มาก ควรให้ข้อมูลข่าวสารในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคแก่ผู้มาร่วมงานหรือกิจกรรม โดยใช้ช่องทางต่างๆ เช่น การส่งจดหมายแจ้งข่าว การประกาศในงาน การลงคำแนะนำในหนังสือพิมพ์ มุมนิทรรศการ
2. ผู้จัดงานควรอำนวยความสะดวกในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคแก่ผู้ร่วมงาน เช่น
· จัดอ่างล้างมือ พร้อมสบู่ กระดาษทิชชู ในห้องน้ำ ให้พอเพียง
· ทำป้ายคำแนะนำหรือหน่วยให้คำแนะนำผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่บริเวณ ทางเข้างาน
· จัดบริการทางเลือกสำหรับผู้ที่ประสงค์มาร่วมงานเพื่อลดความแออัด โดยการสื่อสาร ข้อมูลทางอื่นทดแทนการมาร่วมงาน เช่น ให้ข้อมูลผ่านเว็บไซต์ จดหมาย
· จัดให้มีผู้ทำความสะอาดอุปกรณ์และบริเวณที่มีผู้สัมผัสปริมาณมาก เช่น ราวบันได ลูกบิดประตู ห้องน้ำ ด้วยน้ำผงซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป อย่างสม่ำเสมอและบ่อยกว่าในภาวะปกติ
· จัดหาหน้ากากอนามัยสำหรับผู้มีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ที่มีความจำเป็นต้องอยู่ร่วมกิจกรรม
คำแนะนำสำหรับผู้มาร่วมกิจกรรม
1. ผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก หากอาการไม่มาก ควรหยุดพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านเป็นเวลา 7 วันนับจากวันเริ่มป่วย หรือหลังจากหายเป็นปกติแล้วอย่างน้อย 1 วัน
และไม่ควรเข้าร่วมงานหรือกิจกรรมกับคนหมู่มาก แต่หากจำเป็นต้องเข้าร่วมงาน ให้สวมหน้ากากอนามัยตลอดเวลา
2. กลุ่มเสี่ยงที่หากป่วยเป็นโรคไข้หวัดใหญ่จะมีอาการรุนแรง ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ หญิงมีครรภ์ และผู้มีโรคอ้วน ผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงดังกล่าวควรหลีกเลี่ยงการไปในสถานที่ที่มีการรวมตัวของคนหมู่มาก เพื่อลดโอกาสการติดเชื้อ โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีการแพร่กระจายของโรคนี้ในวงกว้างแล้ว
3. ประชาชนทั่วไปที่ไปรวมตัวกัน ควรปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ หากมีอาการไอ จาม ให้ใช้กระดาษทิชชูหรือผ้าปิดปากปิดจมูก หากไม่มีหรือหยิบไม่ทัน ไม่ควรใช้มือป้องจมูกปาก (เพราะหากป่วย เชื้อจะติดอยู่ที่มือ แล้วไปเปรอะเปื้อนตามสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ) ให้ไอจามใส่แขนเสื้อแทน จะช่วยลดการฟุ้งกระจายของฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายหรือเสมหะได้ดี
4. จากความรู้เรื่องโรคไข้หวัดใหญ่และสถานการณ์ในขณะนี้ การที่ประชาชนที่ไม่ป่วยสวมหน้ากากอนามัย จะมีประโยชน์น้อย แต่หากผู้ป่วยสวมหน้ากากอนามัย จะมีประโยชน์ในการลดการแพร่กระจายเชื้อและป้องกันการระบาดได้มาก
*************************************
คำแนะนำ เรื่อง ข้อปฏิบัติสำหรับค่ายทหารและค่ายอื่นๆ
คำแนะนำ เรื่อง ข้อปฏิบัติสำหรับค่ายทหารและค่ายอื่นๆ
เพื่อการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอ็ช 1 เอ็น 1)
กระทรวงสาธารณสุข
วันที่ 8 กรกฎาคม 2552
คำแนะนำสำหรับเจ้าหน้าที่ฉบับนี้ สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางในการกำหนดข้อปฏิบัติสำหรับการป้องกันการแพร่กระจายและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอ็ช 1 เอ็น 1) ภายในค่ายทหาร และค่ายอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเป็นสถานที่มีผู้คนหนาแน่นและมีผู้คนเข้าออกเป็นจำนวนมาก มีความเสี่ยงที่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรคได้กว้างขวาง ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้คำแนะนำ ดังนี้
คำแนะนำทั่วไป
1. เจ้าหน้าที่ควรให้ข้อมูลความรู้ ในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แก่ทหารในค่ายและครอบครัวที่พักอาศัยในค่าย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ด้วยช่องทางต่างๆ เช่น ป้ายประกาศ เสียงตามสาย มุมความรู้ โดยเน้นแนะนำการปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ หากมีอาการไอ จาม ให้ใช้กระดาษทิชชูหรือผ้าปิดปากปิดจมูก หากไม่มีหรือหยิบไม่ทัน ไม่ควรใช้มือป้องจมูกปาก (เพราะหากป่วย เชื้อจะติดอยู่ที่มือ แล้วไปเปรอะเปื้อนตามสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ) ให้ไอจามใส่แขนเสื้อแทน จะช่วยลดการฟุ้งกระจายของฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายหรือเสมหะได้ดี
2. จัดสถานที่และอำนวยความสะดวก ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค เช่น
· จัดอ่างล้างมือพร้อมสบู่ กระดาษทิชชู ประจำห้องน้ำ โรงครัว โรงอาหาร
· จัดหน่วยให้คำแนะนำและจัดหาหน้ากากอนามัยสำหรับผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่
ในบริเวณลงทะเบียนรับเยาวชนในสถานพินิจ หรือผู้ต้องขังเข้า-ออก หรือจุดเยี่ยมญาติ
· ทำความสะอาดสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องใช้ ที่มีผู้สัมผัสมากๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได โต๊ะอาหาร ด้วยน้ำผงซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป อย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง
คำแนะนำเพื่อลดการนำเชื้อเข้ามาแพร่ในค่าย
1. คัดกรองทหารที่จะเข้ามาในค่าย หากผู้ใดมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ให้หยุดงานไว้ก่อน มิให้เข้ามาอยู่รวมกับผู้อื่น เช่น อยู่บ้านพัก หรือในห้องพยาบาล ทั้งกลางวันและกลางคืน จนกว่าจะหายเป็นปกติ
2. แนะนำทหารและเจ้าหน้าที่ หากเริ่มมีอาการป่วยให้แจ้งห้องพยาบาลภายในค่าย และรีบแยกผู้ป่วยสงสัยโรคไข้หวัดใหญ่
3. หากมีทหารหรือเจ้าหน้าที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่พร้อมกันจำนวนมากอย่างผิดปกติ
ให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวน ป้องกัน และควบคุมโรคต่อไป
4. หากค่ายใดพบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอ็ช1 เอ็น 1) แล้ว ให้ยกเลิกหรือเลื่อนกิจกรรมภายในที่มีการรวมตัวกันหมู่มากออกไปก่อน จัดแบ่งช่วงเวลาการรับประทานอาหารเป็นกลุ่มให้เหลื่อมเวลากัน
คำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยสงสัยโรคไข้หวัดใหญ่
1. ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลและอาสาสมัครที่จะดูแลผู้ป่วย
2. แยกผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ดูแลผู้ป่วยตามคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วย และให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากๆ และไม่ควรให้ออกกำลังหนัก มิฉะนั้นอาจทำให้อาการป่วยทรุดลง เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
3. จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การย้ายไปไปค่ายอื่นในช่วง 7 วันนับจากวันเริ่มป่วย
4. หากมีทหารป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่พร้อมกันจำนวนมาก ให้จัดห้องหรือห้องโถงแยกสำหรับผู้ป่วยไว้ในบริเวณเดียวกัน และจัดเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะ โดยมิให้ย้ายไปมาระหว่างหน่วยหรืออาคารต่างๆ
5. ไม่จำเป็นต้องแยกอุปกรณ์การรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย แต่ให้ทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องครัว ล้างจาน ชาม ช้อน แก้วน้ำให้สะอาด ก่อนผู้ป่วยอื่นจะใช้
6. ซักทำความสะอาด เครื่องนอน เช่น ผ้าห่ม ผ้าปูเตียง ก่อนผู้ป่วยอื่นจะใช้
7. หากครบกำหนดให้ทหารกลับไปเยี่ยมบ้าน หรือออกนอกค่ายในระหว่างที่มีอาการป่วย ควรให้คำแนะนำผู้ที่ป่วยเล็กน้อยดูแลรักษาตัวที่บ้าน หรือหากอาการมากควรไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล
8. ควรให้การดูแลเป็นพิเศษแก่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ หญิงมีครรภ์ และผู้ที่เป็นโรคอ้วน
*************************************
เพื่อการป้องกันและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอ็ช 1 เอ็น 1)
กระทรวงสาธารณสุข
วันที่ 8 กรกฎาคม 2552
คำแนะนำสำหรับเจ้าหน้าที่ฉบับนี้ สามารถนำไปปรับใช้เป็นแนวทางในการกำหนดข้อปฏิบัติสำหรับการป้องกันการแพร่กระจายและควบคุมโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอ็ช 1 เอ็น 1) ภายในค่ายทหาร และค่ายอื่นๆ ซึ่งมีลักษณะคล้ายคลึงกัน โดยเป็นสถานที่มีผู้คนหนาแน่นและมีผู้คนเข้าออกเป็นจำนวนมาก มีความเสี่ยงที่จะเป็นแหล่งแพร่กระจายเชื้อโรคได้กว้างขวาง ดังนั้น กระทรวงสาธารณสุข จึงขอให้คำแนะนำ ดังนี้
คำแนะนำทั่วไป
1. เจ้าหน้าที่ควรให้ข้อมูลความรู้ ในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่แก่ทหารในค่ายและครอบครัวที่พักอาศัยในค่าย รวมทั้งเจ้าหน้าที่ ด้วยช่องทางต่างๆ เช่น ป้ายประกาศ เสียงตามสาย มุมความรู้ โดยเน้นแนะนำการปฏิบัติตามหลักสุขอนามัยที่ดี เช่น ล้างมือด้วยน้ำและสบู่บ่อยๆ หากมีอาการไอ จาม ให้ใช้กระดาษทิชชูหรือผ้าปิดปากปิดจมูก หากไม่มีหรือหยิบไม่ทัน ไม่ควรใช้มือป้องจมูกปาก (เพราะหากป่วย เชื้อจะติดอยู่ที่มือ แล้วไปเปรอะเปื้อนตามสิ่งของเครื่องใช้ต่าง ๆ) ให้ไอจามใส่แขนเสื้อแทน จะช่วยลดการฟุ้งกระจายของฝอยละอองน้ำมูกน้ำลายหรือเสมหะได้ดี
2. จัดสถานที่และอำนวยความสะดวก ในการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรค เช่น
· จัดอ่างล้างมือพร้อมสบู่ กระดาษทิชชู ประจำห้องน้ำ โรงครัว โรงอาหาร
· จัดหน่วยให้คำแนะนำและจัดหาหน้ากากอนามัยสำหรับผู้ที่มีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่
ในบริเวณลงทะเบียนรับเยาวชนในสถานพินิจ หรือผู้ต้องขังเข้า-ออก หรือจุดเยี่ยมญาติ
· ทำความสะอาดสถานที่ อุปกรณ์ เครื่องใช้ ที่มีผู้สัมผัสมากๆ เช่น ลูกบิดประตู ราวบันได โต๊ะอาหาร ด้วยน้ำผงซักฟอก หรือน้ำยาทำความสะอาดทั่วไป อย่างน้อยวันละ 1-2 ครั้ง
คำแนะนำเพื่อลดการนำเชื้อเข้ามาแพร่ในค่าย
1. คัดกรองทหารที่จะเข้ามาในค่าย หากผู้ใดมีอาการป่วยคล้ายไข้หวัดใหญ่ เช่น มีไข้ ไอ เจ็บคอ มีน้ำมูก ให้หยุดงานไว้ก่อน มิให้เข้ามาอยู่รวมกับผู้อื่น เช่น อยู่บ้านพัก หรือในห้องพยาบาล ทั้งกลางวันและกลางคืน จนกว่าจะหายเป็นปกติ
2. แนะนำทหารและเจ้าหน้าที่ หากเริ่มมีอาการป่วยให้แจ้งห้องพยาบาลภายในค่าย และรีบแยกผู้ป่วยสงสัยโรคไข้หวัดใหญ่
3. หากมีทหารหรือเจ้าหน้าที่ป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่พร้อมกันจำนวนมากอย่างผิดปกติ
ให้แจ้งเจ้าหน้าที่สาธารณสุขในพื้นที่ เพื่อสอบสวน ป้องกัน และควบคุมโรคต่อไป
4. หากค่ายใดพบการระบาดของโรคไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ ชนิดเอ(เอ็ช1 เอ็น 1) แล้ว ให้ยกเลิกหรือเลื่อนกิจกรรมภายในที่มีการรวมตัวกันหมู่มากออกไปก่อน จัดแบ่งช่วงเวลาการรับประทานอาหารเป็นกลุ่มให้เหลื่อมเวลากัน
คำแนะนำในการดูแลผู้ป่วยสงสัยโรคไข้หวัดใหญ่
1. ฝึกอบรมเจ้าหน้าที่ห้องพยาบาลและอาสาสมัครที่จะดูแลผู้ป่วย
2. แยกผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ ดูแลผู้ป่วยตามคำแนะนำสำหรับผู้ป่วยและผู้ดูแลผู้ป่วย และให้ผู้ป่วยพักผ่อนมากๆ และไม่ควรให้ออกกำลังหนัก มิฉะนั้นอาจทำให้อาการป่วยทรุดลง เกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงได้
3. จำกัดการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยโรคไข้หวัดใหญ่ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การย้ายไปไปค่ายอื่นในช่วง 7 วันนับจากวันเริ่มป่วย
4. หากมีทหารป่วยเป็นไข้หวัดใหญ่พร้อมกันจำนวนมาก ให้จัดห้องหรือห้องโถงแยกสำหรับผู้ป่วยไว้ในบริเวณเดียวกัน และจัดเจ้าหน้าที่ดูแลผู้ป่วยโดยเฉพาะ โดยมิให้ย้ายไปมาระหว่างหน่วยหรืออาคารต่างๆ
5. ไม่จำเป็นต้องแยกอุปกรณ์การรับประทานอาหารสำหรับผู้ป่วยแต่ละราย แต่ให้ทำความสะอาดอุปกรณ์เครื่องครัว ล้างจาน ชาม ช้อน แก้วน้ำให้สะอาด ก่อนผู้ป่วยอื่นจะใช้
6. ซักทำความสะอาด เครื่องนอน เช่น ผ้าห่ม ผ้าปูเตียง ก่อนผู้ป่วยอื่นจะใช้
7. หากครบกำหนดให้ทหารกลับไปเยี่ยมบ้าน หรือออกนอกค่ายในระหว่างที่มีอาการป่วย ควรให้คำแนะนำผู้ที่ป่วยเล็กน้อยดูแลรักษาตัวที่บ้าน หรือหากอาการมากควรไปรับการรักษาที่โรงพยาบาล
8. ควรให้การดูแลเป็นพิเศษแก่ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงที่จะเกิดภาวะแทรกซ้อนรุนแรงจากโรคไข้หวัดใหญ่ ได้แก่ ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ผู้สูงอายุมากกว่า 65 ปี เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี ผู้มีภูมิต้านทานต่ำ หญิงมีครรภ์ และผู้ที่เป็นโรคอ้วน
*************************************
วันอาทิตย์ที่ 4 กรกฎาคม พ.ศ. 2553
อบรมโรคเอดส์ทหารใหม่
วันพุธที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2553
การอบรมเศรษฐกิจพอเพียงวิชาชีพให้พลทหารก่อนปลดประจำการ
อบรมโรคลมร้อนให้กับครูฝึกทหารใหม่
พ่นหมอกควันวัดถ้ำวัฒนมงคล
วันพฤหัสบดีที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2553
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)